แนะนำ 7 อุปกรณ์ทําคอร์สเรียนออนไลน์

(แนะนำ) 7 อุปกรณ์สอนออนไลน์ สำหรับมือใหม่

(แนะนำ) 7 อุปกรณ์สอนออนไลน์ สำหรับมือใหม่

(แนะนำ) 7 อุปกรณ์ทําคอร์สเรียนออนไลน์ สำหรับมือใหม่ การทำคอร์สเรียนออนไลน์ในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่หลายคนกังวล เพราะการที่จะจัดอุปกรณ์สอนออนไลน์ให้เป็นมืออาชีพนั้น บางท่านอาจจะคิดว่ายาก ในบทความนี้จะมาอธิบายและแนะนำอุปกรณ์สอนออนไลน์เทรนนิ่งสำหรับมือใหม่กันครับ

  1. ห้องสำหรับบันทึกภาพและเสียง

การบันทึกวิดีโอเพื่อสอนออนไลน์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีห้องที่สภาพอคูสติกที่ดี นั้นคือมีเสียงสะท้อนน้อย เพราะการที่ห้องมีเสียงสะท้อนเยอะๆนั้น ทำให้การบันทึกเสียงออกมาอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งเสียงนั้นคือการสื่อสารสำคัญที่สุดในการเรียนการสอน เพราะบางคนสามารถอธิบายด้วยเสียงโดยไม่เห็นภาพก็สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้ ฉะนั้น การสื่อสารแบบออนไลน์เสียงจึงต้องสำคัญอันดับ 1 ซึ่งห้องที่มีเสียงสะท้อนเยอะมันจะทำให้เสียงแย่ไปด้วย หากเราพบว่าห้องที่เราจะทำการบันทึกนั้นมีเสียงสะท้อนเยอะจนเกินไป เราควรหาวัสดุที่ดูดซับเสียงเพื่อให้เสียงสะท้อนลดลง แต่ต้องไม่ดูดซับเสียงจนฟังไม่เป็นธรรมชาติ โดยอาจจะซื้อแผ่นซับเสียงมาติด หรืออาจจะติดผ้าม่านและเสริมเฟอร์นิเจอร์เข้าไปก็สามารถช่วยลดเสียงสะท้อนได้ เพราะเฟอร์นิเจอร์นั้นก็สามารถดูดซับเสียงได้ประมาณนึงอยู่แล้ว แต่ถ้าใครคิดจะทำห้องบันทึกเสียงอย่างจริงจังให้ถูกต้องตามหลักการ ก็ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางด้านอคูสติกจะดีกว่า


  1. ไมโครโฟนและอุปกรณ์อัดเสียงสำหรับติดโทรศัพท์และติดกล้อง

อย่างที่กล่าวมา เสียงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสื่อสาร ไมโครโฟนจึงเป็นส่วนสำคัญในการรับเสียงเพื่อถ่ายทอดสู่ผู้เรียน การเลือกใช้ไมโครโฟนและอุปกรณ์บันทึกเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หากได้อุปกรณ์ที่ดี เสียงที่บันทึกก็จะดีตามไปด้วย ไมโครโฟนสำหรับใช้งานสามารถเลือกใช้ได้ดังนี้

  • ไมโครโฟนมีสายแบบหนีบปกเสื้อ ไมโครโฟนชนิดนี้จะมีราคาที่ไม่สูงมากและให้คุณภาพเสียงที่ดี อีกทั้งจะช่วยควบคุมเสียงรบกวนได้ เพราะติดที่หน้าอกไมโครโฟนจะอยู่ใกล้ปาก ทำให้ไม่ต้องเพิ่มระดับสัญญาณมากจนเกินไป เสียงสะท้อนจึงเข้ามาในไมโครโฟนน้อยกว่าเสียงพูดทำให้ได้ยินเสียงที่ชัด แต่ข้อเสียงคือ รูปแบบการรับเสียงเป็นแบบรอบทิศทาง จึงไม่เหมาะกับห้องที่มีเสียงสะท้อนเยอะจนเกินไป อีกทั้งสายยังเกะกะอาจจะไม่สะดวกในการขยับเคลื่อนไหว และไม่เหมาะกับการนั่งพูดบรรยายหน้าคอมพิวเตอร์ เพราะเสียงเราจะสะท้อนหน้าจอคอมกลับเข้ามาที่ไมโครโฟน ทำให้เสียงจริงที่อัดไปนั้นฟังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
  • ไมโครโฟนมีสายแบบ Short Gun ติดกล้อง เป็นไมโครโฟนที่เหมาะกับการนั่งบรรยายหน้าคอมพิวเตอร์เป็นอย่างยิ่ง เพราะไมโครโฟนชนิดนี้ จะรับเสียงได้แคบและรับได้ไกล ทำให้ลดเสียงที่สะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาเข้าไมโครโฟนได้ดีมากๆ ให้เสียงที่คมชัด แต่ไม่เหมาะกับคนที่ต้องยืนบรรยายและเขียนอธิบายบนกระดาน เพราะตอนกำลังเขียนบนกระดานนั้นเราจะหันหลังให้ไมโครโฟน ทำให้โทนเสียงเปลี่ยนไปและเบาลงอีกด้วย
  • ไมโครโฟนไร้สาย การใช้ไมโครโฟนไร้สายหรือไวเลสไมค์นั้น เหมาะสำหรับการที่เรายืนห่างจากกล้องมากๆ การสาธิตอุปกรณ์หรืออธิบายอะไรก็ตามที่เราต้องเคลื่อนที่ไปมาตลอดเวลา การใช้ไมค์สายนั้นอาจจะไม่สะดวก ไมโครโฟนไร้สายจึงตอบโจทย์การทำงานมากกว่า แต่สิ่งที่ต้องควรระวังคือ ความจุของแบตเตอรี่ เพราะแบตเตอรี่จะหมด เราต้องหมั่นเช็คแบตเตอรี่ตลอดเวลา และสิ่งที่ต้องระวัง คือสัญญาณรบกวนจากคลื่นความถี่อื่นๆ ที่อาจจะมาแทรกสัญญาณไมค์ของเรา ทำให้สัญญาณขาดๆหายๆได้ หากจะใช้ไวเลสไมโครโฟน ควรจะมีผู้ช่วยมาคอยดูสัญญาณไมโครโฟนและระดับแบตเตอรี่ การทำงานคนเดียวเสี่ยงต่อการที่เสียงจะมีปัญหา
  • ไมโครโฟนสำหรับงานบอร์ดแคส ไมโครโฟนจำพวกนี้ออกแบบมาให้ใช้กับงานบอร์ดแคสโดยเฉพาะ จะให้เสียงรบกวนที่ต่ำเสียงกลางที่ชัดเจน เหมาะกับนั่งพูดหน้าคอมพิวเตอร์ มีให้เลือกหลากหลายมากๆ ถ้าพูดใกล้ไมค์ จะให้เสียงรบกวนภายนอกที่ต่ำ ไม่เหมาะกับการนั่งห่างไมค์มากเกินไป ควรนั่งห่างไม่เกิน 15เซนติเมตร และไม่ควรนั่งพูดใกล้ไมค์เกินไปเพราะจะทำให้ย่านความถี่เสียงต่ำจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เสียงพูดฟังไม่ชัดเจน
  1. กล้องบันทึกภาพ

ก่อนจะเลือกซื้อกล้องนั้นต้องตั้งโจทย์ให้ตัวเองก่อนว่าจะบันทึกภาพอย่างเดียวหรือไว้เผื่อสอนแบบเรียลไทม์ หรือไลฟ์สด โดยสามารถแบ่งกล้องไว้ทำงานได้ดังนี้

  • บันทึกภาพอย่างเดียว แบ่งเป็นการบันทึกได้ดังนี้
  • นั่งพูดหน้ากล้อง ง่ายๆเลยคือสามารถใช้กล้องจากโทรศัพท์ก็ได้ ถืออะไรที่สะดวกรวดเร็วมาก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ถ้าหากอยากได้คุณภาพที่ดีขึ้นมาหน่อย เราสามารถเลือกกล้องถ่ายภาพที่ถ่ายวิดีโอได้มาใช้งาน ความละเอียดแนะนำเป็น Full HD1080p ก็ถือว่ามีความละเอียดคมชัดมากพอ ไม่จำเป็นต้องเลือกแบบ 4K ก็ได้ แต่ถ้างบถึงก็จัด 4K มาเลย(แบบว่ารวย..อิอิ) แต่ตอนถ่ายแนะนำแค่ Full HD1080p ก็พอ เพราะสามารถบันทึกได้ยาวกว่าแบบ 4K กล้องบางตัวบันทึกแบบ 4K ได้ไม่ถึง 10นาทีด้วยซ้ำ บางทีบทเรียนเรามีความยาวมากกว่า 10 นาที กล้องก็จะตัดภาพ ทำให้การบันทึกนั้นขาดตอนไม่สม่ำเสมอ การนั่งพูดหน้ากล้องแล้วกดบันทึกลงการ์ภายในกล้องเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด เสียบไมค์ บันทึกภาพ อัดเสร็จนำไปอัพขึ้นเว็บไซต์ที่ต้องการได้เลย หรือในกรณีที่ต้องการนำไปตัดต่อ คุณภาพแบบ Full HD ใช้กำลังทรัพยากรคอมพิวเตอร์น้อยกว่าแบบ 4K ที่ต้องใช้คอมแรงขึ้น งบประมาณในการซื้อคอมพิวเตอร์ก็สูงขึ้นด้วย
  • พูดหน้ากล้องและเปิด Presentation แบบนี้ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการบันทึกผ่านโปรแกรม กล้องที่ใช้ก็จะเป็นกล้องเว็บแคมสะดวกที่สุดหรือกล้องถ่ายวิดีโอก็จะได้คุณภาพของภาพผู้บรรยายละเอียดขึ้น แต่ต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติมคือการ์ดแคปเจอร์ และโปรแกรมในการบันทึก
  • สอนสดๆผ่านไลฟ์บนเฟสบุ๊คหรือยูทูป หากต้องการสอนแบบสดๆผ่านไลฟ์ ง่ายที่สุดคือใช้โทรศัพท์ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถแชร์ Presentation ที่ต้องการสื่อได้ ถัดมาคือใช้กล้องเว็บแคม ราคาไม่แพงมากไม่เกิน 3พันบาท สามารถต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คผ่านสาย USB ได้เลย หรือกล้องวิดีโอที่จะนำมาใช้นั้นก็ควรจะเป็นกล้องวิดีโอที่มีช่องสัญญาณ HDMI Output และสัญญาณภาพที่ออกจากกล้องนั้นต้องเป็นสัญญาณที่เรียกว่า Clean HDMI คือมีแต่ภาพวิดีโอที่จะบันทึก ไม่มีเมนูการปรับค่ากล้องแสดงออกมา เวลาไปเลือกซื้อต้องถามทางผู้ขายดีๆ และต้องมีการ์ดแคปเจอร์เพิ่มเข้ามาอีก

  1. ระบบแสง

ระบบแสง ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างในการถ่ายวิดีโอ แสงต้องมีความสว่างมากเพียงพอในการบันทึกวิดีโอ ไม่เช่นนั้นภาพจะมืด ถ้าแสงน้อยเกินไป เราต้องเปิดรูรับแสงที่กล้องให้กว้าง หรือดัน ISO ของกล้องไปสูงๆ ภาพจะได้สว่างขึ้น ข้อเสียของการดัน ISO คือความคมชัดของวิดีโอก็จะน้อยลงไปด้วยและพวก Noise ก็จะตามมา แนะนำให้หาไฟที่สามารถปรับความสว่างได้ ส่วนใช้ไฟนั้นมีให้เลือกเยอะมากมาย ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหลายหมื่น อยู่ที่งบประมาณของแต่ละคน แนะนำเลือกที่สว่างที่สุดและปรับความสว่างได้ ปรับอุณหภูมิสีได้ ส่วนลูกเล่น EFX อื่นๆนั้นไม่มีความจำเป็นในการทำคอร์สเรียน


  1. การ์ดแคปเจอร์

ถ้าเราจะทำการบันทึกภาพวิดีโอลงคอมพิวเตอร์หรือไว้ไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊คหรือยูทูป สิ่งนึงที่ต้องมีคือ การ์ดแคปเจอร์ เอาไว้สำหรับแปลงสัญญาณภาพจากกล้องลงสู่คอมพิวเตอร์ บางคนถามว่าทำไมต้องมีเพราะคอมพิวเตอร์มีช่องต่อ HDMI อยู่แล้ว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าช่องต่อ HDMI ที่แถมมากับคอมพิวเตอร์นั้น เป็นช่องสัญญาณแบบขาออกสำหรับไว้ต่อออกจอเพื่อดูภาพเท่านั้น แต่นี่เราต้องการนำสัญญาณภาพเข้าไป เราเลยจำเป็นต้องมีตัวแปลงสัญญาณภาพ นั่นก็คือ การ์แคปเจอร์(Capture Card) นั่นเอง ซึ่งการ์ดแคปเจอร์ภาพนั้นมีอยู่ 2 แบบคือ แบบใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ กับแบบเป็นกล่องด้านนอก วิธีการเลือกคือเราจะสัญญาณอะไรไปบันทึกบ้างเช่น มีกล้องกี่ตัว ถ้ามีกล้องหลายตัววางอยากบันทึกพร้อมกันแล้วนำไปตัดต่อทีหลัง ก็ต้องมีการ์ดที่มีช่องเสียบสัญญาณ HDMI เยอะหน่อย ถ้าในกรณีนี้แนะนำให้ใช้แบบการ์ดมากกว่าแบบกล่องด้านนอก เพราะมีความเสถียรมากกว่าแบบกล่องข้างนอก สัญญาณจะไปหลุด เพราะแบบกล่องด้านนอกนั้นใช้แบบเสียบเข้าช่อง USB ถ้าเสียงหลายๆตัวสัญญาณอาจจะประมวลผลลำบาก เพราะช่อง USB ต้องแชร์สัญญาณกับเมาส์และคีย์บอร์ดด้วย แต่ถ้าใช้กล้องตัวเดียว แบบกล่อง USB จะสะดวกและราคาถูกกว่า


  1. คอมพิวเตอร์และโปรแกรมสำหรับตัดต่อ

คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานตัดต่อนั้น ไม่สามารถนำสเปกคอมพิวเตอร์สำนักงานทั่วไปมาทำงานได้ เพราะการตัดต่อใช้กำลังทรัพยากรเครื่องเยอะมาก จึงต้องใช้คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คแรงๆนิดนึง สำหรับโปรแกรมที่ใช้ตัดต่อเครื่อง PC และ Mac ก็จะมี Sony VegasAdobe Premier ProiMovieFinal Cut Pro ส่วนโปรแกรมสำหรับไลฟ์สดนั้น ถ้าเป็นโปรแกรมฟรีก็จะมีโปรแกรม OBS ใช้ได้ทั้ง PC และ Mac ส่วนโปรแกรมที่ต้องจ่ายเงินก็จะมี WireCast ใช้ได้ทั้ง Mac และ PC ส่วน Ecamm Live ใช้ได้กับ Mac เท่านั้น แนะนำให้ใช้ OBS ไปก่อนนะครับจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินเยอะจนเกินไป ส่วนใครอยากสอนแบบสดๆที่สามารถพูดคุยตอบโต้กันได้ แนะนำโปรแกรม Zoom ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับ Conference เป็นโปรแกรมที่สะดวกในการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง


  1. อุปกรณ์เสริมประกอบอื่นๆ

อุปกรณ์ประกอบในการทำวิดีโอสอนออนไลน์นั้นได้แก่ ขาตั้งกล้อง แบตสำรอง สายชาร์จ สายสัญญาณทั้งภาพและเสียง เมโมรี่การ์ด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่มีเมื่อเราจะทำงานวิดีโอ

สำหรับใครที่ต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์สอนออนไลน์ รวมไปถึงวิธีใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Siam Sound Store (สยามซาวด์สโตร์) เรายินดีให้คำปรึกษาทั้งในเรื่องของอุปกรณ์และวิธีการทำคอนเทนต์ต่างๆ สามารถโทรสอบถามได้ที่ 02 550 6340, 064 198 2499

Login

X